การมีนโยบาย ค่าแรงขั้นต่ำ 2566 คืออะไร
แนวคิดเรื่อง ค่าแรงขั้นต่ำ 2566 หรือเรียกง่าย ๆ ว่า ค่าแรงขั้นต่ำเป็นประเด็นที่มีการถกเถียงกันมาอย่างยาวนานในหมู่ผู้กำหนดนโยบาย นักเศรษฐศาสตร์ และเจ้าของธุรกิจ ในขณะที่บางคนโต้แย้งว่ามันเป็นเครื่องมือสำคัญในการสร้างหลักประกันว่าจะได้รับค่าตอบแทนที่ยุติธรรมและลดความเหลื่อมล้ำของรายได้ แต่ก็มีอีกหลาย ๆ คนที่เชื่อว่ามันอาจส่งผลในทางลบต่อการจ้างงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจ
ในบทความนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับค่าแรงขั้นต่ำในมุมมองต่าง ๆที่ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน เพื่อให้คุณเข้าใจถึงค่าแรงขั้นต่ำในระดับสากล และเพิ่มพูนความรู้เกี่ยวกับค่าแรงขึ้นต่ำเพื่อนำไปศึกษาต่อในเชิงลึกสำหรับผู้ที่สนใจ
ค่าแรงขั้นต่ำ ในภาพรวมทั่วโลก
นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำมีความแตกต่างกันอย่างมากในแต่ละประเทศและภูมิภาค ซึ่งสะท้อนถึงความแตกต่างในตลาดแรงงาน สภาวะเศรษฐกิจ และบรรทัดฐานทางสังคม ประเด็นสำคัญบางประการของนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำทั่วโลก ได้แก่ :
- การกำหนดระดับค่าจ้างขั้นต่ำ : โดยทั่วไปแล้วอัตราค่าจ้างขั้นต่ำจะกำหนดโดยรัฐบาลหรือหน่วยงานตามกฎหมาย โดยคำนึงถึงปัจจัยต่างๆ เช่น ค่าครองชีพ ผลิตภาพ และระดับค่าจ้างทั่วไป
- ความผันแปรตามภูมิภาค : ในบางประเทศ อัตราค่าจ้างขั้นต่ำอาจแตกต่างกันไปตามภูมิภาค อุตสาหกรรม หรืออาชีพ โดยพิจารณาจากค่าครองชีพที่ผันแปรและสภาวะตลาดแรงงาน
- กลไกการปรับค่าแรงขั้นต่ำ : อัตราค่าจ้างขั้นต่ำมักมีการแก้ไขเป็นระยะ โดยปรับตามปัจจัยต่างๆ เช่น เงินเฟ้อ การเปลี่ยนแปลงของค่าจ้างเฉลี่ย หรือประสิทธิภาพทางเศรษฐกิจ
ข้อดีของนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ
ในปัจจุบันยังคงมีการถกเถียงกันอยู่เรื่อย ๆ ว่าความจริงแล้วนโยบายค่าแรงขั้นต่ำนั้นดีจริงไหม หรือมันส่งผลดีต่อเศรษฐกิจจริงรึเปล่า สำหรับผู้ที่กำลังศึกษาข้อมูลหรืออยากได้ความรู้เกี่ยวกับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ นี่คือข้อดีของนโยบายค่าแรงขั้นต่ำที่น่าสนใจ
- การรับประกันผลตอบแทนที่เป็นธรรม: กฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำช่วยให้แน่ใจว่าคนงานได้รับรายได้ที่ยุติธรรมสำหรับการทำงานของตน ลดความเสี่ยงของการถูกเอารัดเอาเปรียบและปรับปรุงมาตรฐานการครองชีพโดยรวมของค่า
- การลดความเหลื่อมล้ำทางรายได้: นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำสามารถช่วยลดช่องว่างทางรายได้ระหว่างคนรวยกับคนจน ส่งเสริมความสามัคคีทางสังคมและความมั่นคงทางเศรษฐกิจ
- กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ: ค่าจ้างที่สูงขึ้นสามารถเพิ่มการใช้จ่ายของผู้บริโภค กระตุ้นความต้องการสินค้าและบริการ และขับเคลื่อนการเติบโตทางเศรษฐกิจ
- การส่งเสริมการลงทุนด้านการศึกษาและการฝึกอบรม: การเพิ่มผลตอบแทนให้กับแรงงาน นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำอาจกระตุ้นให้คนงานลงทุนด้านการศึกษาและการฝึกอบรม ส่งเสริมประสิทธิภาพในการทำงานและการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว
ค่าแรงขั้นต่ำ อัตราใหม่ เริ่ม 1 ต.ค. 2565 เรียงลำดับอัตราค่าแรงใหม่จากสูงไปต่ำ
1. อัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 354 บาท จำนวน 6 จังหวัด
ปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 354 บาท ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่
- ชลบุรี (จากเดิมวันละ 336 บาท)
- ระยอง (จากเดิมวันละ 335 บาท) และ
- ภูเก็ต (จากเดิมวันละ 336 บาท)
2. อัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 353 บาท จำนวน 6 จังหวัด
ปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 353 บาท ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่
- กรุงเทพมหานคร (จากเดิมวันละ 331 บาท)
- นนทบุรี (จากเดิมวันละ 331 บาท)
- นครปฐม (จากเดิมวันละ 331 บาท)
- ปทุมธานี (จากเดิมวันละ 331 บาท)
- สมุทรปราการ (จากเดิมวันละ 331 บาท) และ
- สมุทรสาคร (จากเดิมวันละ 331 บาท)
3. อัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 345 บาท จำนวน 1 จังหวัด
ปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 345 บาท ในพื้นที่ 1 จังหวัด ได้แก่
- ฉะเชิงเทรา (จากเดิมวันละ 330 บาท)
4. อัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 343 บาท จำนวน 1 จังหวัด
ปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 343 บาท ในพื้นที่ 1 จังหวัด ได้แก่
- พระนครศรีอยุธยา (จากเดิมวันละ 325 บาท)
5. อัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 340 บาท จำนวน 14 จังหวัด
ปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 340 บาท ในพื้นที่ 14 จังหวัด ได้แก่
- กระบี่ (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- ขอนแก่น (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- เชียงใหม่ (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- ตราด (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- นครราชสีมา (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- ปราจีนบุรี (จากเดิมวันละ 324 บาท)
- พังงา (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- ลพบุรี (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- สงขลา (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- สระบุรี (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- สุพรรณบุรี (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- สุราษฎร์ธานี (จากเดิมวันละ 325 บาท)
- หนองคาย (จากเดิมวันละ 325 บาท) และ
- อุบลราชธานี (จากเดิมวันละ 325 บาท)
6. อัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 338 บาท จำนวน 6 จังหวัด
ปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 338 บาท ในพื้นที่ 6 จังหวัด ได้แก่
- กาฬสินธุ์ (จากเดิมวันละ 332 บาท)
- จันทบุรี (จากเดิมวันละ 332 บาท)
- นครนายก (จากเดิมวันละ 332 บาท)
- มุกดาหาร (จากเดิมวันละ 332 บาท)
- สกลนคร (จากเดิมวันละ 332 บาท) และ
- สมุทรสงคราม (จากเดิมวันละ 332 บาท)
7. อัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 335 บาท จำนวน 19 จังหวัด
ปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 335 บาท ในพื้นที่ 19 จังหวัด ได้แก่
- กาญจนบุรี (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- ชัยนาท (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- นครพนม (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- นครสวรรค์ (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- บึงกาฬ (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- บุรีรัมย์ (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- ประจวบคีรีขันธ์ (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- พะเยา (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- พัทลุง (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- พิษณุโลก (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- เพชรบุรี (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- เพชรบูรณ์ (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- ยโสธร (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- ร้อยเอ็ด (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- เลย (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- สระแก้ว (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- สุรินทร์ (จากเดิมวันละ 320 บาท)
- อ่างทอง (จากเดิมวันละ 320 บาท) และ
- อุตรดิตถ์ (จากเดิมวันละ 320 บาท)
8. อัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 332 บาท จำนวน 22 จังหวัด
ปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 332 บาท ในพื้นที่ 22 จังหวัด ได้แก่
- กำแพงเพชร (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- ชัยภูมิ (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- ชุมพร (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- เชียงราย (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- ตรัง (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- ตาก (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- นครศรีธรรมราช (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- พิจิตร (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- แพร่ (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- มหาสารคาม (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- แม่ฮ่องสอน (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- ระนอง (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- ราชบุรี (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- ลำปาง (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- ลำพูน (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- ศรีสะเกษ (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- สตูล (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- สิงห์บุรี (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- สุโขทัย (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- หนองบัวลำภู (จากเดิมวันละ 315 บาท)
- อำนาจเจริญ (จากเดิมวันละ 315 บาท) และ
- อุทัยธานี (จากเดิมวันละ 315 บาท)
9. อัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 328 บาท จำนวน 5 จังหวัด
ปรับอัตราค่าแรงขั้นต่ำเพิ่มเป็นวันละ 328 บาท ในพื้นที่ 5 จังหวัด ได้แก่
- ยะลา (จากเดิมวันละ 313 บาท)
- ปัตตานี (จากเดิมวันละ 313 บาท)
- นราธิวาส (จากเดิมวันละ 313 บาท)
- น่าน (จากเดิมวันละ 320 บาท) และ
- อุดรธานี (จากเดิมวันละ 320 บาท)
กรณีศึกษาของนโยบาย ค่าแรงขั้นต่ำ 2566 ในประเทศต่าง ๆ
การตรวจสอบและทำความเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำของประเทศและภูมิภาคต่างๆ สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกอันมีค่าเกี่ยวกับผลกระทบของนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำ ทำให้คุณสามารถเข้าใจเกี่ยวกับนโยบายค่าแรงขั้นต่ำได้ดียิ่งขึ้น
- สหรัฐอเมริกา : ค่าจ้างขั้นต่ำของรัฐบาลกลางสหรัฐยังคงไม่เปลี่ยนแปลงตั้งแต่ปี 2009 แต่หลายรัฐและเมืองต่าง ๆ ได้ปรับใช้อัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่สูงขึ้น สิ่งนี้นำไปสู่การแก้ไขกฎหมายค่าจ้างขั้นต่ำทั่วประเทศ ทำให้สามารถเปรียบเทียบผลกระทบที่มีต่อตลาดแรงงานและเศรษฐกิจในท้องถิ่นได้
- สหภาพยุโรป : ประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปมีอัตราค่าจ้างขั้นต่ำที่หลากหลาย ซึ่งสะท้อนถึงความหลากหลายของเศรษฐกิจและตลาดแรงงาน บางประเทศ เช่น เยอรมนีและสหราชอาณาจักร ได้เปิดตัวนโยบายค่าจ้างขั้นต่ำเมื่อไม่นานมานี้ โดยนำเสนอข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับผลกระทบเบื้องต้น โดยในปัจุบันนี้หลาย ๆ ประเทศก็กำลังพิจารณามาตรการที่คล้ายคลึงกัน
- ประเทศกำลังพัฒนา : ประเทศกำลังพัฒนาหลายประเทศใช้นโยบายค่าจ้างขั้นต่ำเพื่อปกป้องคนงานและลดความยากจน อย่างไรก็ตาม ประสิทธิผลของนโยบายเหล่านี้อาจถูกจำกัดด้วยปัจจัยต่างๆ เช่น การบังคับใช้ที่อ่อนแอ ความไม่เป็นธรรมในระดับบริหาร และสถาบันตลาดแรงงานที่จำกัด